วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รวบ‘มาเฟีย’แก๊งชาวเช็กอุ้ม-รีดดัตช์ที่เมืองพัทยา

แก๊งคนร้ายข้ามชาติวางแผนอุ้มตัวหนุ่มเนเธอร์แลนด์ รีดค่าไถ่ 3.8 ล้านบาทหัวโจกเป็นคนสัญชาติเดียวกัน วางแผนให้สมุนชาวเช็ก 2 คน ที่อยู่ในประเทศไทย ทำทีขอใช้หนี้เหยื่อ นัดพบในร้านฟาสต์ฟู้ดดังเมืองพัทยา แล้วอุ้มตัวไปกักขังซ้อมยับ เหยื่อให้แฟนสาวชาวไทยติดต่อญาติโอนเงิน 90,000 ยูโร หรือประมาณ 3.8 ล้านบาท เข้าบัญชีหัวโจกแก๊งค่าไถ่ถึงยอมปล่อยตัว ตำรวจแกะรอยจากรถปิกอัพที่คนร้ายเช่ามา ก่อนดักล็อกตัวสมุนชาวเช็กดำเนินคดี

รวบแก๊งคนร้ายข้ามชาติอุ้มตัวหนุ่มเนเธอร์แลนด์รีดค่าไถ่รายนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 เม.ย. ที่ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พ.ต.อ.ธีระพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จ.ชลบุรี พ.ต.อ.นันทวุฒิ สุวรรณละออง ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ธราเทพ ตูพาณิชย์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.กฤศกร ทองอินทร์ รอง ผกก.ปป. ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมแก๊งเรียกค่าไถ่ ประกอบด้วยนายแดเนียล โมติกา หรือโรเบิร์ต อายุ 36 ปี ชาวสาธารณรัฐเช็ก กับนายฟรานติเชค ยานคู หรือแพทริก อายุ 37 ปี สัญชาติเดียวกัน ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้ซึ่งค่าไถ่เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ พร้อมของกลางรถปิกอัพโตโยต้าวีโก้แบบสี่ประตู ทะเบียน ศร 7035 กรุงเทพมหานคร เชือก 1 เส้น และเทปกาวขนาดใหญ่ 1 ม้วน

พ.ต.อ.ธีระพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จ.ชลบุรี เปิดเผยเบื้องหลังการจับกุมแก๊งเรียกค่าไถ่ต่างชาติครั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา นายแดเนียล ผู้ต้องหา นัดนายวิลเลียม พา แจนส์เซน อายุ 42 ปี ผู้เสียหาย ชาวเนเธอร์แลนด์ ไปทานอาหารที่ร้านแมคโดนัลด์ บนห้างรอยัลการ์เด้นพลาซ่า ถนนเลียบชายหาดพัทยา เพื่อเคลียร์หนี้จำนวน 30,000 ยูโร ที่นายแดเนียลขอยืมนายวิลเลียมเมื่อครั้งอยู่ประเทศเนเธอร์แลนด์ บอกให้นายวิลเลียมขี่รถจักรยานยนต์ตามไปเอาเงินที่ลานจอดรถโรงแรมเวลคัม พลาซ่า ถนนพัทยาสาย 2 โดยนายแดเนียลขับรถปิกอัพโตโยต้าคันดังกล่าวนำทาง

รอง ผบก.ภ.จ.ชลบุรี กล่าวต่อว่า ปรากฏว่าเมื่อไป ถึงลานจอดรถโรงแรมดังกล่าว นายฟรานติเชคโผล่พรวดพร้อมปืนในมือจี้บังคับให้นายวิลเลียมขึ้นรถปิกอัพ ใช้เชือกมัดมือทั้งสองข้างพันทับด้วยเทปกาว แล้วใช้ถุงดำคลุมหัวพาไปกักขังที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งย่านพัทยาเหนือ รุมซ้อมรีดค่าไถ่ 250,000 ยูโร ซึ่งนายวิลเลียมได้โทรศัพท์บอก น.ส.ปนัดดา สีลาดเลา แฟนสาว ติดต่อญาติของนายวิลเลียม รวบรวมเงินได้เพียง 90,000 ยูโร หรือประมาณ 3.8 ล้านบาท โอนเข้าบัญชีนายจิมมี ชาวเนเธอร์แลนด์ คนร้ายจึงยอมปล่อยตัวนายวิลเลียม เมื่อตอนเช้าวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา และนายวิลเลียม กับแฟนสาว ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ในตอนค่ำวันเดียวกัน

พ.ต.อ.ธีระพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จ.ชลบุรี กล่าวต่อว่า หลังตำรวจได้รับแจ้งความ ชุดสืบสวนได้แกะรอยจากรถปิกอัพพาหนะคนร้าย จนทราบว่าเป็นรถที่เช่ามาจากเต็นท์รถของนายสมศักดิ์ สินธาราศิริกุลชัย ริมถนนพัทยากลาง หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มีกำหนดส่งคืนเวลา 17.00 น. วันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา จึงนำกำลังพร้อมหมายศาลไปดักรอรวบตัว กระทั่งนายแดเนียลขับรถปิกอัพโตโยต้าคันดังกล่าวมาส่งคืน มีนายฟรานติเชค เพื่อนร่วมแก๊ง ขับรถปิกอัพมาสด้าสีดำ มารอรับกลับ จึงเข้ารวบตัวได้ทั้งคู่ ค้นตัวพบเงินร่วม 20,000 ยูโร ซึ่งนายวิลเลียมได้มาชี้ตัวยืนยันผู้ต้องหาแล้ว สอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ อ้างว่าเงินค่าไถ่ทั้งหมดอยู่ที่นายจิมมี หัวโจกแก๊งค่าไถ่ ซึ่งพฤติกรรมคนร้ายเป็นแก๊งข้ามชาติมีการวางแผนเป็นอย่างดี ลวงให้เหยื่อมาพบอ้างจะใช้หนี้ แล้วอุ้มตัวไปกักขังเรียกค่าไถ่ โดยมีนายจิมมี เป็นหัวโจกวางแผน ซึ่งตำรวจจะได้ติดตามจับกุมตัวมาดำเนินต่อ

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สุเทพแฉตร.สีแดงเป็นใจล้มอาเซียนพัทยา

รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเข้าชี้แจงต่ออนุกก.รวบรวมข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่พัทยายอมรับขอร้องผู้ว่าฯ -ส.ส.ในพื้นที่ นำมวลชนออกมาในช่วงจัดประชุม...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.00 น. วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่พัทยา มีนายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหาเป็นประธาน มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เข้าชี้แจง

นายสุเทพ กล่าวถึงสาเหตุที่เลือกพัทยาเป็นสถานที่จัดประชุมอาเซียนและประเทศคู่สัญญาว่าเดิมกำหนดไว้ที่ จ.ภูเก็ต แต่กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า ช่วงดังกล่าวโรงแรมใน จ.ภูเก็ต ไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้นำประเทศต่างๆได้ จึงต้องจัดที่พัทยาซึ่งตนเหมือนคนได้ใจ เพราะก่อนหน้าเคยจัดที่หัวหินแล้วประสบความสำเร็จ งานนี้ถ้าตายเรียกว่าตายกลางอากาศแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะตำรวจมีแผนการปฏิบัติสมบูรณ์ ยิ่งได้พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผช.ผบ.ตร. ซึ่งมีชื่อเสียงในภาคใต้มาช่วยยิ่งมั่นใจ แต่สุดท้ายไม่ได้ทำอะไร เพราะกลัวจะผิดกฎหมาย ส่วนตัวยังคิดว่า พล.ต.ท.อดุลย์ จะมีฝีมือมากกว่านี้

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า ยอมรับตำรวจบางส่วนยังมีความรู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลนี้ แต่ไม่ได้คิดอะไรพยายามจะถนอมน้ำใจกันไว้ แม้แต่วันที่ 8 เม.ย. ที่มีการปิดตามแยกต่างๆในกทม. ได้ไปประชุมที่กองบัญชาการตำรวจจราจร ยังเห็นตำรวจใส่เสื้อสีแดงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เพราะเห็นว่าเป็นของแจกใครก็ใส่ได้ กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. มีการรายงานมายังนายกรัฐมนตรีว่ากลุ่มเสื้อแดงปิดถนนหลายจุด นายกฯจึงให้คนขับรถไปดูพบว่ามีเสื้อแดงไม่ถึง 20 คน จึงสั่งให้ตนใช้ตำรวจจับกุม จึงโทรศัพท์ไปยังระดับผู้บัญชาการ ให้ดำเนินการจับกุม แต่ผ่านไป 1 ชั่วโมง โทรฯ กลับไปถามได้คำตอบว่ายังจัดกำลังไม่เสร็จ

นายสุเทพ กล่าวถึงคำถามของอนุกรรมการฯ ถึงแผนสำรองฉุกเฉิน ว่า ยอมรับเมื่อแผนที่ตำรวจบรรยายให้ฟังก่อนหน้านี้ล้มไปหมด เลยไม่รู้จะรับมือสถานการณ์อย่างไร จึงขอร้องให้ผู้ว่าฯ และส.ส.ในพื้นที่ เอามวลชนออกมาช่วยกันป้องกันเหตุรุนแรง

เมื่ออนุกรรมการฯ ถามว่า ฝ่ายตำรวจเคยให้ข้อมูลกับอนุกรรมการฯว่า เหตุที่พัทยามีแผนสมบูรณ์แต่ไม่มีการทำจริง จึงอยากรู้ว่ามีใครสั่งตำรวจไม่ให้ทำหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่อยากรื้อฟื้นให้บ้านเมืองร้าวฉานมากไปกว่านี้ แต่เป็นธรรมดาเมื่อเกิดการต่อสู้ทางการเมือง อาจมีฝ่ายที่ชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ ชอบพรรคประชาธิปัตย์ แต่เสียใจมากที่ความแตกแยกลามไปถึงระบบราชการ และไม่เคยสั่งการให้ตำรวจใส่เสื้อสีน้ำเงิน เพราะไม่มีความจำเป็น แต่ยอมรับว่าได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ปักหลักป้องกันการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เคลื่อนกำลังไปพร้อมกับชุดเครื่องเสียง เพื่อตั้งเวทีประกบกับกลุ่มเสื้อแดง เพราะประเมินว่ากลุ่มเสื้อแดงจะปราศรัยอยู่ที่ทางขึ้นเขา สูงสุดคงแค่ล้อมโรงแรม ไม่คิดว่าจะบุกโรงแรมล้มการประชุม ไม่คิดว่าคนไทยจะทำได้ขนาดนี้

นายสุเทพ กล่าวถึงคำถามของอนุกรรมการฯ ที่รัฐบาลไม่สามารถรับมือได้เป็นเพราะการข่าวบกพร่องหรือไม่ ว่า อย่าบอกว่าบกพร่อง บอกว่าไม่มีการข่าวเลยดีกว่า ตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าตายก็ตายกลางอากาศแบบไม่รู้ตัว เพราะเชื่อมั่นแผนการของตำรวจมาตลอด เวลาบรรยายฟังแล้วดูดีไปหมด ไม่มีท่าทีหรือข่าวสารที่แสดงให้เห็นว่าจะรับมือกับการต่อต้านไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในช่วงท้ายของการประชุมอนุกรรมการฯ จากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ได้โต้เถียงกันอย่างหนัก โดย นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย ระบุว่าสาเหตุที่กลุ่มเสื้อแดงต้องเข้าไปในโรงแรม เพราะมีกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินที่ทางรัฐบาลจัดมาเป็นฝ่ายปลุกปั่นยั่วยุ ขณะที่นายบรรจบ รุ่งโรจน์ ส.ส.ชลบุรี อนุกรรมการฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ ตอบโต้ว่า เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น อ้างเพื่อใช้หาเรื่องเท่านั้น ลึกๆ แล้วต้อง การสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อให้รัฐบาลเสียหน้า นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการเมือง

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หนุ่มใหญ่คูเวตตายเปลือยขึ้นอืดปริศนา

พบศพหนุ่มใหญ่ชาวคูเวต เสียชีวิต ปริศนา หมกโรงแรมหรูกลางเมืองพัทยา ขึ้นอืดไม่ต่ำกว่า 4 วัน ตำรวจเร่งตามหาสาวรัสเซีย ที่อยู่กับผู้ตายก่อนพบเป็นศพ ...

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 พ.ย. พ.ต.ท.ปรีชา สัมฤทธิ์ พนักงานสอบสวน ( สบ.3 ) สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งว่า มีชาวต่างชาติเสียชีวิต ภายในห้องพัก เบอร์ 311 ชั้น 3 ของอาคาร โรงแรม วีซี โฮเต็ล ถนนเขาพระตำหนักพัทยาใต้ ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้ง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พ.ต.ท.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ รอง.ผกก.สส. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน แพทย์เวร รพ.บางละมุง และ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ เมืองพัทยา รุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุ

ภายในห้องพักดังกล่าวพบศพ นาย SABAH ALENEZT อายุ 37 ปี นักท่องเที่ยวชาวคูเวต สภาพนอนเปลือยกายล่อนจ้อน อยู่บนเตียงนอน สภาพเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 วัน จนศพเริ่มขึ้นอืด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งทั่วบริเวณ ขณะที่การชันสูตรตามร่างกาย ไม่พบบาดแผลของการถูกทำร้าย อีกทั้งสภาพในห้องเกิดเหตุ ตำรวจตรวจสอบพบว่า มีร่องรอยรื้อค้นทรัพย์สินของผู้ตาย จนกระจัดกระจาย ตำรวจ จึงตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง เพื่อตรวจสอบไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวน นายภานุวัฒน์ พูนผล อายุ 40 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ให้การว่า เห็นผู้ตายครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 พ.ย. โดยพาหญิงสาวต่างชาติ คล้ายหญิงรัสเซีย ขึ้นไปบนห้องพัก และ พาหญิงรัสเซียดังกล่าว ได้ออกจากโรงแรมในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่ได้เอะใจ จนกระทั่ง แม่บ้าน มาแจ้งว่า ผู้ตายเสียชีวิตแล้วภายในห้องพัก โดยสภาพภายในห้อง มีร่องรอยการถูกรื้อค้นทรัพย์สิน จึงรีบแจ้งตำรวจให้ทราบ

พ.ต.ท.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ รอง.ผกก.สส. กล่าวว่า ได้ตรวจสอบและเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เบื้องต้น ยังไม่สรุปสาเหตุ ที่แท้จริงได้ โดยต้องรอผลชันสูตรของสถาบันนิติเวชวิทยา ยืนยันอีกครั้ง โดยตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น เสียชีวิต เพราะโรคประจำตัว หรือ อาจถูกฆาตกรรม คือ การมอมยาเกินขนาดจนเสียชีวิต และ ฉกทรัพย์หนีไป ซึ่งตำรวจจะเร่งสืบสวนสอบสวนหาสาวรัสเซียปริศนา มาสอบสวนปากคำต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

รวบหนุ่มบาห์เรน ค้ามนุษย์ หลอกสาวขายตัว

ตำรวจปราบปรามค้ามนุษย์บุกรวบหนุ่มบาห์เรนกลางโรงแรมเมืองพัทยา สอบพบเป็นหนึ่งในขบวนการค้ากามข้ามชาติรายใหญ่ของบาห์เรน เคยก่อคดีมาอื้อ มีหญิงไทยร่วมแก๊งอีก 2 คน แต่หนีไปได้..

เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 11 พ.ย. พ.ต.ต.นนท์วาณัฐกริช กลิ่นพงศ์ สารวัตรกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (สว.บก.ปคม.) พร้อมกำลังเข้าจับกุมตัว นายโมฮัมเหม็ด อิบราฮิม ยูซูฟ นาซิริซา (MR.MOHAMED EBRAHIM YUSUF NASERISA) อายุ 27 ปี สัญชาติบาห์เรน ผู้ต้องหาค้ามนุษย์ข้ามชาติ ที่โรงแรมมารีน พลาซ่า ถนนพระตำหนัก หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตามหมายจับของศาลอาญาใต้ เลขที่ 3173/2552 ลงวันที่ 10 พ.ย. 52 ในข้อหาร่วมกันเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฏหมายทำการค้ามนุษย์ และ เพื่อสนองความใครของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งชายหรือหญิงแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และ หน่วงหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำการด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ ด้านร่างกาย

พ.ต.ต.นนท์วาณัฐกริช เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ติ๋ม (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย อายุ 30 ปี ได้เข้าแจ้งร้องเรียนกับทางเจ้าหน้าที่ว่าถูกลวงพาไปบังคับขายตัวที่ประเทศบาห์เรน โดยนายโมฮัมเหม็ด ผู้ต้องหาร่วมมือกับเพื่อนร่วมขบวนการซึ่งเป็นหญิงไทยอีก 2 คน ล่อลวงอ้างว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศบาห์เรน ก่อนจะนำไปบังคับขายตัว หลังสอบสวนและรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดแล้ว จึงออกหมายจับทันที ขะเดียวกันได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามสืบหาข่าวจนทราบว่า ผู้ต้องหาพักอยู่ที่โรงแรมดังกล่าว จึงนำกำลังบุกจับ โดยมีผู้เสียหายชี้ตัวยืนยัน ส่วนหญิงไทยที่ร่วมขบวนการอีก 2 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองพัทยา และเชื่อว่าแก๊งค้ามนุษย์รายนี้น่าจะเตรียมตัวพากันมาก่อเหตุลวงหญิงสาวในเมืองพัทยาพาไปบังคับขายตัวอีก

จากการตรวจสอบยังพบว่า ขบวนการผู้ต้องหารายนี้อยู่ในขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติรายใหญ่ ที่เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เบื้องต้นได้ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันตรงตามกับหมายจับ แต่ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ก่อเหตุ หรือมีส่วนรู้เห็น แต่ทางเจ้าหน้าที่นั้นไม่ปักใจเชื่อในคำให้การเนื่องจากมีหลักฐานแน่ชัด อีกทั้งผู้เสียหายยังชี้ตัวยืนยัน จึงควบคุมตัวไปฝากขังไว้ที่ สภ.เมืองพัทยา

2อินเดียหิ้วกะเทยเสพสุข โด๊ปยาเกินขนาดช็อกตาย

กะเทยเมืองพัทยาสุดแสบ มอมยา 2 หนุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่หิ้วมาเสพสุขแบบ 2 รุม 1 ในห้องพักโรงแรม จนเหยื่อเป็นเชฟมือดีของโรงแรมที่ประเทศอินเดียโดนวางยาเกินขนาดถึงกับช็อกตายไปหนึ่งราย ส่วนเพื่อนอีกคนอาการโคม่าหมดสติก่อนรื้อค้นปลดเอาทรัพย์สินเผ่นหนีลอยนวล

นักท่องเที่ยวแดนภารตะถูกแก๊งกะเทยมอมยาช็อกตายอนาถคาโรงแรมปลดทรัพย์ ส่วนเพื่อนอีกคนสลบเหมือดไม่ได้สติอาการร่อแร่ เปิดเผยเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.ย. พ.ต.ท.ชัชชัย ศรีสุวรรณ สารวัตรเวรสภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกคนร้ายมอมยาเสียชีวิตที่ห้องพักหมายเลข 304 ชั้น 3โรงแรมพัทยาซิตี้โฮเต็ล ตั้งอยู่ในซอยเอ อาร์ พัทยากลาง หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบและพร้อมด้วย พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ รอง ผกก.สส. นำชุดสืบสวน และหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ รุดไปตรวจสอบ

ภายในห้องที่เกิดเหตุพบศพผู้ตายในสภาพนอนหงายบนเตียงนอน นุ่งกางเกงในสีน้ำตาลตัวเดียว เนื้อตัวซีดเซียว น้ำลายฟูมปาก ทราบชื่อต่อมาคือนายอมิต อนันต์ อายุ 25 ปี นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย เสียชีวิตมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ทราบว่ามีนายกุมาร ปะวัน อายุ 41 ปี นักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่พักอยู่ด้วยกันอีก 1 คน มีอาการคล้ายกับถูกมอมยาสลึมสลือหายใจรวยรินไม่ได้สติ ถูกนำส่ง รพ.พัทยาเมโมเรียล ไปก่อนและแพทย์นำเข้าห้องไอซียู เยียวยาช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ ส่วนในห้องพบร่องรอยการรื้อค้นข้าวของกระจัดกระจาย แต่ยังไม่ทราบว่ามีทรัพย์สินอะไรหายไปบ้าง พบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วตกอยู่บนเตียงนอน 1 อัน ถุงยางอนามัยที่ยังไม่ใช้วางอยู่ อีกหลายอัน และยากล่อมประสาทชนิดแคปซูลไม่ทราบยี่ห้อตกอยู่ 2 เม็ด จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนนางโศภิษฐ์ สังขกาฬ อายุ 50 ปี พนักงานของโรงแรมเปิดเผยว่า ผู้ตายกับเพื่อนชาวอินเดียทั้ง 2 คน เป็นนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์มาเปิดห้องพักที่โรงแรมตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนเกิดเหตุช่วงประมาณตี 1 เห็นผู้ตายกับเพื่อนพาชายลักษณะคล้ายกะเทยหรือสาวประเภท 2 เข้ามาพักในห้องโดยทางโรงแรมได้บันทึกชื่อไว้คือนายพงศกร สิงห์แก้ว ภูมิลำเนาอยู่ จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นช่วงประมาณตี 4 กะเทยคนดังกล่าวได้ออกจากโรงแรมไป จนกระทั่งเช้ามีไกด์นำเที่ยวมารับที่ห้องก็พบว่านักท่องเที่ยวทั้งคู่อยู่ในสภาพคล้ายถูกมอมยาเสียชีวิตและนอนหมดสติอยู่ภายในห้อง จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลพร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

ด้าน พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย ผกก.สภ.เมืองพัทยาเปิดเผยว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบและเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างละเอียด ส่วนสาเหตุคาดว่าผู้ตายกับเพื่อนถูกกะเทยที่พามาร่วมหลับนอนมอมยา โดยอาจใช้ยาเกินขนาดทำให้ช็อกเสียชีวิตไป 1 คน ส่วนอีกคนนอนหมดสติก่อนรื้อค้นเอาทรัพย์สินหลบหนีไป ขณะนี้ได้จัดชุดสายสืบออกสืบหากะเทยตัวแสบรายนี้เพื่อจับกุมมาดำเนินคดีอย่างรีบเร่ง ส่วนนายอมิตผู้ตายนั้นทราบว่าทำงานเป็นเชฟหรือกุ๊กประจำโรงแรมแห่งหนึ่งที่ประเทศอินเดีย และได้ประสานเจ้าหน้าที่ เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป